ความขัดแย้ง
จากสถานการณ์ปัจจุบันคิดว่าทุกท่านคงทราบดีว่า
เรากำลังเผชิญกับความขัดแย้งในระดับที่รุนแรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขัดแย้งในครั้งนี้เป็นความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง
(Structural Conflict) ที่เป็นเรื่องของการแย่งชิงอำนาจและการใช้อำนาจ
นอกจากนี้ยังเป็นความขัดแย้งจากผลประโยชน์ (Interest Conflict)
ที่มีการแย่งชิงผลประโยชน์กัน
ประกอบกับความขัดแย้งนี้ยังเกี่ยวข้องกับนโยบายสาธารณะที่มีผู้ที่เกี่ยว
ข้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) เกี่ยวข้องกันเป็นจำนวนมาก
ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากัน ทำให้หลาย ๆ
ฝ่ายต่างมีความเป็นห่วงกันว่าจะเป็นการทำให้สังคมไทยแตกแยกอย่างหนัก
และจะนำไปสู่ความรุนแรงในที่สุด
การยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธีจึงเป็นแนวทางที่กล่าวถึงกันเยอะ
อย่างไรก็ดีการทำความเข้าใจในพฤติกรรมความขัดแย้ง
(Conflict Behavior) จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจรากของปัญหาที่เกิดขึ้น
โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว ความขัดแย้งจะเกิดจาก
บริบทของความเป็นปัจเจกของบุคคลแต่ละคน และบริบทของโครงสร้าง
ดังนั้นการพิจารณาถึงพฤติกรรมความขัดแย้งแย้งนั้นจะต้องพิจารณาถึงทั้งสอง
ด้าน
เพราะถ้าขาดด้านใดด้านหนึ่งอาจจะนำไปสู่การยุติความขัดแย้งที่ผิดพลาดได้
ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในที่สุด
สำหรับพฤติกรรมที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงนั้นจะเริ่มจากปฏิกิริยาที่
เกิดขึ้นจากการสื่อสารแล้วแสดงออกโต้ตอบกันไปมาจนเกิดเกลียวแห่งความขัดแย้ง
(Spiral of Conflict) ที่ต่างคนต่างมีปฏิกิริยาตอบโต้กัน
โดยจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนในที่สุดกลายเป็นความขัดแย้งที่มีความรุนแรง
ซึ่งถ้าไม่สามารถยุติวงจรของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้นั้น
ก็จะนำไปสู่การทำลายล้างกัน เอาชนะคะคานกัน หรือ ที่เรียกว่า
ความขัดแย้งแบบทำลายล้าง (Destructive Conflict)
ส่วนทางออกของความขัดแย้งนั้นจะขึ้นอยู่กับแนวทางที่ต่างฝ่ายต่างเลือก
ซึ่งพฤติกรรมเพื่อหาทางออกเมือเกิดความขัดแย้งนั้นใน ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์
ได้จำแนกออกเป็น (หนังสือ “ความขัดแย้ง: หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา”
พิมพ์ครั้งที่ 2 ของ ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ สถาบันพระปกเกล้า 2547 หน้าที่
180 - 182)
* การแข่งขันหรือวิธีของฉัน
(Competing or My Way): พฤติกรรมแนวนี้จะยึดถือความพยายามที่จะเอาชนะ
มักจะเป็นวิธีการของผู้ที่มีอำนาจที่จะใช้อำนาจทุกวิถีทาง
โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น
*
การหลีกเลี่ยงหรือยอมถอย (Avoiding or No Way):
เป็นพฤติกรรมที่พยายามหลีกเลี่ยงปัญหาหรือยอมถอย
ซึ่งจะพบมากในกลุ่มประเทศเอเชีย และกลุ่มประเทศลาตินอเมริกัน
* การประนีประนอมหรือแบ่งคนละครึ่ง (Compromising or Half War):
เป็นวิธีที่ประสานการร่วมมืออย่างหนึ่ง หรือที่เรารู้จักกันดีคือ
การเดินสายกลาง
* การยอมตามหรือแล้วแต่ผู้ใหญ่
(Accommodating or Your Way): เป็นพฤติกรรมที่สังคมชอบปฏิบัติ
โดยมุ่งเน้นไปที่การรักษาความสัมพันธ์สูง
มีความต้องการที่จะผลักดันความพยายามของตนเองน้อย
ยอมรับแนวความคิดของคนอื่นโดยยกเลิกความต้องการของตนเอง คือ
ยอมรับเชื่อฟังคำตัดสิน หรือคำสั่ง
*
การร่วมมือกันหรือวิธีการของเรา (Collaborating or Our Way):
เป็นพฤติกรรมที่ทั้งสองฝ่ายพยายามที่จะหาทางบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
เป็นการประสานประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์
ส่วนกระบวนการในการจัดการความขัดแย้งสามารถนำเสนอได้ตามตารางที่ 1
โดยผลของการตัดสินใจที่เป็นลักษณะ ชนะ-ชนะ (Win-Win) จะเกิดจาก
การเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง และ การเจรจาไกล่เกลี่ย
ตารางที่ 1 กระบวนการตัดสินใจแก้ปัญหาข้อพิพาทและผลแห่งการตัดสินใจ
ที่ มา: หนังสือ “ความขัดแย้ง: หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา” พิมพ์ครั้งที่ 2 ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ สถาบันพระปกเกล้า 2547 หน้าที่ 150
ที่ มา: หนังสือ “ความขัดแย้ง: หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา” พิมพ์ครั้งที่ 2 ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ สถาบันพระปกเกล้า 2547 หน้าที่ 150
กระบวนการที่ใช้ (Process) | ผู้ตัดสิน (Decision-Making) | ผลการตัดสินใจ (Result) |
- ใช้ความรุนแรง (Violence/Fight) | - ผู้ชนะ (The Winner) | - แพ้-ชนะ (Win-Loose) |
- ใช้การเผชิญหน้าประท้วงอย่างสันติ (Non-Violence Direct Action or Civil Disobedience) | - ผู้ชนะ (The Winner) | - แพ้-ชนะ (Win-Loose) |
- ใช้การบัญญัติกฎหมาย (Legislation) | - สภานิติบัญญัติ (The Legislature) | - แพ้-ชนะ (Win-Loose) |
- ใช้การฟ้องร้อง (Litigation) | - ศาล (The Court) | - แพ้-ชนะ (Win-Loose) |
- ใช้อนุญาโตตุลาการตัดสิน (Arbitration) | - อนุญาโตตุลาการ (Arbitrator) | - แพ้-ชนะ (Win-Loose) |
- ใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง (Mediation) | - คู่กรณี (The Parties) | - ชนะ-ชนะ (Win-Win) |
- ใช้การเจรจาไกล่เกลี่ย (Negotiation) | - คู่กรณี (The Parties) | - ชนะ-ชนะ (Win-Win) |
- ใช้การหลีกหนีปัญหา (Avoidance/Fight) | - | - คงสภาพเดิม (Status quo) |
จากตารางที่ 1 จะพบถ้าคู่พิพาทเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาผลที่ได้จะต้องมีฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งชนะ และอีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ อย่างไรก็ดี หลาย ๆ คนมักจะมีความเชื่อว่า ความรุนแรงจะช่วยยุติความขัดแย้งได้ เช่น การทิ้งระเบิดปรมาณูของสหรัฐ ฯ ที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ เพราะต้องการให้สงครามในภาคพื้นแปซิฟิกยุติโดยเร็ว และลดการสูญเสียนาวิกโยธินของตนเองในการขึ้นยึดเกาะญี่ปุ่น แต่ความรุนแรงมักจะไม่ใช่คำตอบเสมอไป เช่น ยุทธการเสรีภาพยั่งยืน (Operation Enduring Freedom) ของสหรัฐ ฯ ที่นำกำลังบุกเข้าไปในอัฟกานิสถาน เพื่อตามล่า บินลาดิน และล้มล้างรัฐบาลตอลีบาน ซึ่งสหรัฐ ฯ สามารถล้มล้างตอลีบานได้แต่ ความขัดแย้งยังไม่ได้ยุติ เพราะทุกวันนี้สหรัฐ ฯ ต้องคงกำลังไว้ที่อัฟกานิสถาน และทหารสหรัฐ ฯ เองก็ยังมีการสูญเสียอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับ ยุทธการปลดปล่อยชาวอิรัก (Operation Iraqi Freedom) หรือที่รู้จักกันในชื่อ สงครามอ่าวภาค 2 ที่สหรัฐ ฯ ยุติสงครามลงภายในเวลาไม่กี่วัน แต่ความรุนแรงยังคงมีอยู่ในอิรักตลอดเวลาจนมาถึงทุกวันนี้
ถึงตรงนี้คงมีคำถามตามมาว่าแล้ว “อะไรคือสันติวิธี” ดร.มาร์ค ตามไท
ได้กล่าวถึงสันติวิธีไว้ว่า “สันติวิธีนั้นมีอยู่สองลักษณะคือ
สันติวิธีในการต่อสู้เรียกร้องให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการและสันติวิธีในการ
แก้ปัญหาความขัดแย้ง” (อ้างถึงในหนังสือ “ความขัดแย้ง:
หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา” พิมพ์ครั้งที่ 2 ของ ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์
สถาบันพระปกเกล้า 2547 หน้าที่ 101 - 103) โดยมีรายละเอียดดังนี้
* สันติวิธีในการต่อสู้หรือเรียกร้อง (Peaceful Demonstrate/Protest):
แนวทางในการต่อสู้นี้เป็นแนวทางที่ถูกนำมาใช้ เมื่อ
เกิดความไม่พอใจหรือมีความเห็นไม่สอดคล้องกับผู้ที่มีอำนาจ
มีการดำเนินการในลักษณะของการประท้วง หรือ การเรียกร้อง
หรือการต่อสู้โดยการยื่นหนังสือขอเข้าพบ หรือ
การชุมนุมกันเพื่อแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วย หรือ
แสดงออกถึงความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้มีอำนาจ โดย สงบ สันติ ไม่มีอาวุธ
การต่อสู้ในแนวทางนี้จะมีชื่อเรียกกันว่า “การดื้อแพ่ง” (Civil
Disobedience) ซึ่งแนวทางนี้เป็นแนวทางทีมีต้นแบบจากแนวทางการต่อสู่แบบ
“อหิงสา” ของ มหาตมคานธี ในการต่อสู้เรียกร้องเอกราชของอินเดีย
* สันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง (Peaceful Conflict Resolution):
สำหรับแนวทางนี้เป็นแนวทางที่ใช้ในการแก้ปัญหาหลักจากที่ความขัดแย้งหรือข้อ
พิพาทเกิดขึ้นแล้ว และพยายามที่จะยุติความขัดแย้งโดยการใช้แนวทางที่สันติ
ซึ่งแนวทางที่เด่นชัดที่สุดได้แก่ การเจรจาไกล่เกลี่ย (Negotiation)
กันเองระหว่างคู่พิพาท หรือ โดยมีคนกลางซึ่งเป็นบุคคลที่สาม
(เป็นบุคคลเพียงคนเดียวหรือหลายคนก็ได้)
ช่วยในกระบวนการไกล่เกลี่ยและไม่ได้ทำหน้าที่ตัดสินชีขาดแต่จะเป็นผู้กำกับ
การเจรจาให้ดำเนินไปได้อันจะนำไปสู่ทางออก คือการยุติความขัดแย้ง
จากที่กล่าวมาจะพบว่า
การแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้นแนวทางที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นการเจรจาไกล่เกลี่ย
และ การเจรจาไกล่เกลี่ยคนกลาง
เพราะผลลัพธ์ที่น่าจะเป็นไปในลักษณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างชนะ (Win-Win)
ซึ่งการไกล่เกลี่ยนั้นมีหลายรูปแบบ แต่ที่จะพบเห็นได้บ่อยครั้งคือ
* การเจรจาโดยยึดจุดยืน (Position-based Negotiation):
การเจรจาในลักษณะนี้จะเป็นการเจรจาที่จะเอาแพ้ชนะเอาชนะกัน
ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนของตนเอง
คู่เจรจาจะปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นศัตรูกัน
ความเชื่อของการเจรจานี้จะเป็นลักษณะ Zero Sum Game ตามแนวคิดในทฤษฏีเกม
(Game Theory) ที่ถ้าไม่แพ้ก็ต้องชนะ
ผลของการเจรจาเช่นนี้มักยอมรับครึ่งทาง (Compromise)
แต่การเจรจาในลักษณะนี้ไม่ควรจะนำมาใช้ในกรณีของความขัดแย้งในนโยบายสาธารณะ
* การเจรจาโดยยึดผลประโยชน์ (Interest-based
Negotiation): การเจรจาในลักษณะนี้ไม่มองถึงประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว
แต่จะมองและทำความเข้าใจของความต้องการ ความห่วงกังวลของฝ่ายอื่น
การเจรจาลักษณะนี้จะเกิดจากคู่เจรจาทุกฝ่ายมาร่วมกัน แก้ปัญหา
เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจร่วมกันโดยหวังให้ความต้องการของทุกฝ่ายได้รับการ
ตอบสนอง ทุกฝ่ายจะไม่ระบุถึงจุดยืนของตนเอง แต่จะบอกถึง ความหวัง
ความต้องการ ความห่วงกังวล ความหวาดระแวง
สำหรับตารางที่ 2 จะแสดงถึงความแตกต่างระหว่างการเจรจายึดจุดยืนและการเจรจาโดยยึดผลประโยชน์เป็นหลัก
ตารางที่ 2 แตกต่างระหว่างการเจรจายึดจุดยืนและการเจรจาโดยยึดผลประโยชน์เป็นหลัก
ที่ มา: หนังสือ “ความขัดแย้ง: หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา” พิมพ์ครั้งที่ 2 ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ สถาบันพระปกเกล้า 2547 หน้าที่ 174
ที่ มา: หนังสือ “ความขัดแย้ง: หลักการและเครื่องมือแก้ปัญหา” พิมพ์ครั้งที่ 2 ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ สถาบันพระปกเกล้า 2547 หน้าที่ 174
การเจรจาโดยจุดยืน | การเจรจาโดยยึดถือผลประโยชน์เป็นหลัก |
- ให้ได้ส่วนแบ่งที่มากที่สุดเท่าที่ทำได้จากทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด | - ได้ความพึงพอใจจากทุกฝ่าย |
- เป็นผลลัพธ์แบบ แพ้-ชนะ | - พยายามที่จะทำให้บรรลุต่อความต้องการของทุกฝ่าย |
- เกิดความสัมพันธ์แบบปฏิปักษ์ | - ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีช่วยเหลือซึ่งกันและกัน |
- ผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายถูกมองว่าเป็นความขัดแย้งอีกฝ่ายหนึ่ง | - มองหาจุดที่เห็น หรือมีประโยชน์ |
- พยายามยามเปิดเผยของฝ่ายตรงข้ามให้มากที่สุด ในขณะเดียวกันพยายามที่จะปกปิดของเราและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิด | - แบ่งปันข้อมูลและช่วยกันสร้างทางเลือกเพื่อให้ผลประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย |
- ผู้มีส่วนเพื่อข้องจะเริ่มต้นที่ การตั้งความต้องการไว้สูง และเปลี่ยนจุดยืนอย่างลังเล | - มุ่งผลประโยชน์ร่วมไม่ใช่จุดยืม |
- ใช้การคุกคาม ถกเถียงในการให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี | - ใช้เหตุผลและประสบการณ์ในการจัดการกับปัญหา |
การทำความเข้าใจในเรื่องของความขัดแย้งและการยุติด้วยสันติวิธี เป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะนวัตกรรมต่าง ๆ ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อันจะนำมาซึ่งความขัดแย้งในที่สุด ดังเช่นสถานการณ์ปัจจุบัน เราคงต้องยอมรับว่าบ้านเมืองของเราไม่เคยมีการแตกแยกทางความติดอย่างนี้มา ก่อน ดังนั้นถ้าแกนนำของแต่ละฝ่ายมองไปยังผลประโยชน์ของประเทศชาติ มากกว่าผลประโยชน์ของตนเองแล้ว ผมเชื่อว่าเราคงผ่านวิกฤตการณ์ตรงนี้ไปได้ ประเทศไทยไม่ได้ขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่บุคคลทุกภาคส่วนต่างหากคือผู้ที่จะนำพาประเทศไทยเดินไปข้างหน้า ประชาธิปไตยนั้นเสียงส่วนใหญ่ (Majority Rule) นั้นไม่อาจละเลยสิทธิของเสียงส่วนน้อย (Minority Right) ได้ ถ้าทุกคนหันหน้าเข้าหากันแล้วทุกอย่างคงจะดีขึ้น สำหรับผมแล้วผมเชื่อในกฎแห่งกรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง คงจะช่วยลงโทษคนที่คิดร้ายต่อประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนไทยที่ เกิดบนแผ่นดินไทยแล้วคดโกง คิดมิดีมิร้ายต่อแผ่นดินเกิดแล้ว ผมเชื่อว่าคงมีอันเป็นไปไม่ช้าก็เร็ว……………